← กลับเมนูหลัก

EPA 2020: แลคเกอร์ไฟฟ้าอะคริลิค (Acrylic E-coat)

ฟิล์มใสสม่ำเสมอ คุมความหนาด้วยไฟฟ้า เหมาะงานตกแต่ง/กันสนิม พร้อมสเปกเดินบ่อ ขั้นตอน และการบำรุงรักษา

ภาพรวมกระบวนการ

การชุบแลคเกอร์ไฟฟ้าอะคริลิคเป็นกระบวนการเคลือบผิวด้วยไฟฟ้ากระแสตรงที่อาศัยแรงดึงดูดของประจุให้อณูพอลิเมอร์อะคริลิคเคลื่อนที่ไปเกาะบนชิ้นงาน เกิดเป็นชั้นฟิล์มใสที่บาง เรียบ และยึดเกาะแน่น

ในการทำงานทั่วไปจะต่อชิ้นงานเป็นขั้วแคโทดและจุ่มในอ่างที่มีพอลิเมอร์ประจุบวก เมื่อจ่ายไฟ อณูพอลิเมอร์จะเคลื่อนที่เข้าหาผิวชิ้นงาน เคลือบได้สม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้น รวมถึงบริเวณร่องและมุม พร้อมควบคุมความหนาได้อย่างแม่นยำ

ข้อดีและคุณสมบัติ

  • ความสม่ำเสมอสูง เคลือบทั่วถึงโดยไม่เกิดการหนาตามมุมหรือขอบ
  • ทนการกัดกร่อนดี ฟิล์มทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันช่วยยืดอายุการใช้งาน
  • ใช้วัสดุคุ้มค่า อัตราการใช้ประโยชน์ของน้ำยาสูงประมาณ 95–99%
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้น้ำเป็นตัวกลางและปราศจากโลหะหนัก ลดผลกระทบต่อผู้ปฏิบัติงาน

การประยุกต์ใช้งาน

  • เครื่องประดับ เคลือบชั้นใสบนงานชุบทองหรือโรเดียมเพื่อเพิ่มทนหมองและทนรอย
  • ชิ้นส่วนตกแต่ง เช่น อะไหล่รถ เฟอร์นิเจอร์ และฮาร์ดแวร์ที่ต้องการความงามและทนทาน
  • งานที่ต้องการชั้นใสคุณภาพสูง เช่น ชิ้นส่วนนาฬิกาและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก

จุดเด่นของน้ำยา

สรุปคุณสมบัติสำคัญสำหรับไลน์ชุบ ทั้งคุณภาพผิว ความเสถียร และความพร้อมต่อกระบวนการถัดไป

ฟิล์มใสเงา สม่ำเสมอ

คลุมได้ทั่วถึงแม้ในร่อง/มุม ลดส้มผิว และเสถียรต่อโหลดผสม

ทนกัดกร่อนสูง

เพิ่มอายุการใช้งานผิวชุบ/โลหะพื้น ลดคราบและการหมอง

คุมความหนาด้วยไฟฟ้า

0.05–0.1 A/dm² สร้างฟิล์ม ~8 µm ใน ~30 วินาทีแรก

รองรับการผลิตเร็ว

รอบชุบสั้น เหมาะงานจำนวนมาก ลดการสิ้นเปลืองวัสดุ

จัดการน้ำยาแบบ UF

Ultrafiltration ช่วยคุม solvent/การนำไฟฟ้า ให้น้ำยาเสถียร

ยืดหยุ่นต่อไลน์

เหมาะระบบ Rack อ่าง PP/PVC/สแตนเลส พร้อมกรอง in-tank

หลักการ E-coat (EDP)

  • พอลิเมอร์อะคริลิคในน้ำ (มีประจุ) เคลื่อนที่ตามสนามไฟฟ้าไปยังชิ้นงาน
  • เมื่อสัมผัสผิวที่ขั้วตรงข้าม เกิดการตกเคลือบ/การคายน้ำ กลายเป็นฟิล์มต่อเนื่อง
  • ความหนาขึ้นกับกระแส ความต่างศักย์ เวลา และเคมีของน้ำยา
  • หลังชุบต้องอบ (cure) เพื่อให้ฟิล์มแข็ง แห้ง และคงทน

สเปกผลิตภัณฑ์ — EPA 2020

แลคเกอร์ใสแบบ E-coat เงา ใส ฟิล์มแข็ง ทนกัดกร่อน สำหรับผิวโลหะ/ผิวชุบ

รายการ ค่ามาตรฐาน
EPA 2020330 g/L
Dye0–1 mL/L
RI12–14
pH4.4–5.2
การนำไฟฟ้า900–1100 μS
Solvent3–4 %

สภาวะเดินงาน (Operating Window)

พารามิเตอร์ ค่าแนะนำ ช่วง
อุณหภูมิ25 °C23–27 °C
ขั้วล่อ (แอโนด)สแตนเลส 316
ความหนาแน่นกระแส0.05–0.1 A/dm²
พื้นที่แอโนด:ชิ้นงาน2 : 1≈ 2 : 1
อัตราเคลือบ≈ 8 µm/30 วินาทีแรกขึ้นกับกระแส/เวลา
เวลาเคลือบ30–60 วินาที10–120 วินาที
ดีเลย์ก่อนจ่ายกระแส10–15 วินาที

ขั้นตอนการทำงานที่แนะนำ

  1. การล้างด้วยน้ำกลั่น: ชิ้นงานต้องผ่านการล้างด้วยน้ำกลั่นสองครั้ง ทั้งก่อนและหลังการชุบ เพื่อลดการปนเปื้อนของโลหะอื่น
  2. การปรับสภาพผิว: จุ่มชิ้นงานในแลคเกอร์ 2020 ที่ความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ เพื่อทำหน้าที่เป็นไพรเมอร์ช่วยยึดเกาะ
  3. การชุบ: นำชิ้นงานไปชุบเคลือบด้วย EPA 2020 ตามพารามิเตอร์ที่กำหนดจนได้ความหนาฟิล์มตามสเปก
  4. การล้างและทำความสะอาด: ล้างด้วยน้ำกลั่นสองครั้งเพื่อกำจัดคราบน้ำยาที่หลงเหลือ จากนั้นจุ่มน้ำยากำจัดคราบน้ำก่อนการอบ
  5. การอบ: เป่าให้แห้งแล้วนำไปอบตามสเปก เพื่อให้ฟิล์มพอลิเมอร์แข็งตัวและทนทาน

การอบ

เงื่อนไข เวลา
โลหะเนื้อแข็ง 150–180 °C ประมาณ 20 นาที
โลหะเนื้อแข็ง 90–120 °C ประมาณ 30–60 นาที
หมายเหตุ อบไม่พอ ฟิล์มจะอ่อนและเกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย

การปรับปรุงและบำรุงรักษาน้ำยา

  • ค่า RI: วัดด้วยรีแฟรกโตมิเตอร์ เป้าหมาย 11–14 หากต้องการเพิ่ม 1 หน่วย ให้เติมแลคเกอร์ 33 ซีซีต่อลิตร
  • ตัวทำละลาย: ค่า RI ของน้ำจากยูเอฟควรอยู่ที่ 0.8–2.0 หากต่ำ ให้เติมโฟลว์แอดดิทีฟ 1–2 มิลลิลิตรต่อลิตร หากสูง ให้กรองด้วยอัลตร้าฟิลเตรชัน
  • ค่าการนำไฟฟ้า: เป้าหมาย 900–1000 ไมโครซีเมนส์ หากเกิน 1000 ให้กรองด้วยอัลตร้าฟิลเตรชัน หรือเติมแลคเกอร์ 20 กรัมต่อลิตร
  • ค่า pH: น้ำยาใหม่ควรอยู่ที่ 4.2–5.2 หาก pH ต่ำให้กรองยูเอฟ หาก pH สูงให้ปรับด้วยอีมัลชันสเตบิไลเซอร์
  • ค่า MEQ: เป้าหมาย 27–33 ไทเทรตด้วย KOH 0.1 โมล หากต้องการเพิ่ม 1 หน่วย เติมสเตบิไลเซอร์ 0.1 ซีซีต่อลิตร ค่าสูงเกินให้กรองยูเอฟ ค่าต่ำให้ปรับด้วยอีมัลชันสเตบิไลเซอร์

อุปกรณ์ที่จำเป็น

  • บ่อแลคเกอร์: วัสดุ PP หรือ PVC พร้อมระบบกวนน้ำยา
  • ปั๊มกวนน้ำยา: อัตราหมุนเวียนมากกว่า 5 เท่าของปริมาตรบ่อต่อชั่วโมง พร้อมไส้กรอง 1–3 ไมโครเมตร
  • แผ่นตัวล่อ: สแตนเลสเกรด 316
  • เครื่องกรองอัลตร้าฟิลเตอร์: ใช้ควบคุมค่าการนำไฟฟ้าและคุณภาพน้ำยา
  • ตู้ไฟ: ปรับแรงดันได้สูงสุด 60 โวลต์
  • ตู้อบงาน: สำหรับการอบหลังชุบ

สารเคมีที่ใช้ในการปรับปรุง

  • โฟลว์แอดดิทีฟ: รักษาสมดุลส่วนผสม เป้าหมายรวม 3–4 เปอร์เซ็นต์
  • สเตบิไลเซอร์: ใช้เป็นครั้งคราวเพื่อคุม pH และ MEQ ปกติเติม 0.2–0.3 ซีซีต่อลิตรเมื่อจำเป็น
LINE